- ภาพ
ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งรับคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครู ที่ต้องโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ ซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มี.ค.48 ที่ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร จ.นครพนม ว่า คำพิพากษาศาลฎีกายังมีผลที่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลผูกพันตัวจำเลย ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ตามสื่อมวลชน และในโซเชียลเน็ตเวิร์กต้องระมัดระวัง เพราะขณะนี้คดีในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ศาลจังหวัดนครพนม ดำเนินการสืบพยานตามคำร้องของนางจอมทรัพย์ จำเลยและอัยการผู้คัดค้าน อยู่ในกระบวนการชั้นศาล
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวอีกว่า เมื่อศาลจังหวัดนครพนมดำเนินการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว ต้องส่งสำนวนการสืบพยานให้ศาลฎีกามีคำสั่งว่าจะยกคำร้องขอรื้อฟื้นคดี หรือจะยกคำพิพากษาเดิมของศาลฎีกาที่ลงโทษจำคุก ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณามใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 23 ดังนั้นเมื่อคดียังอยู่ในระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย จึงไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์เพราะอาจเป็นการก้าวล่วงและละเมิดการพิจารณาคดีของศาล
ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ประเด็นที่อยากเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนคือ คำพิพากษาศาลฎีกายังมีผลผูกพันและชอบด้วยกฎหมาย และกระบวนการรื้อฟื้นคดียังอยู่ระหว่างการดำเนินการของศาล ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ก้าวล่วง และยังไม่ควรเรียกนางจอมทรัพย์ว่าเป็นแพะในคดี เพราะต้องรอการสืบพยานและคำพิพากษาในส่วนของการขอรื้อฟื้นคดีของศาลฎีกาให้ถึงที่สุดเสียก่อน ทั้งนี้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบต้องร่วมกันตรวจสอบ เพื่อเป็นหลักประกันในสิทธิเสรีภาพของประชาชน กระบวนการรื้อฟื้นคดีจึงมีขึ้นเพื่อร่วมกันค้นหาความจริง แต่ควรคำนึงว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าคดีจะออกมาเป็นเช่นไร ขอให้รอกระบวนการพิจารณาของศาลให้เสร็จสิ้นก่อน