อัยการภาค 7 สั่ง”เปรมชัย”พร้อมพวกชดใช้ 4.62 แสนบ.ให้กรมอุทยานฯ

https://www.matichon.co.th/news/

วันที่ 4 เมษายน นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 พร้อมด้วย นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค7 และนายทนง ตะภา อัยการจ.กาญจนบุรี ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานอิตาเลียนไทย ดีวีล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 ราย ผู้ต้องหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่เนเรศวร ด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี เข้าไปล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่นเรศวร อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 สืบเนื่องจากสำนักงานอัยการจ.กาญจนบุรี ได้รับสำนวนสอบสวน คดีระหว่างนายวิเชียร ชิณวงษ์ ผู้กล่าวหา นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาที่1 นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 นางนที เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 และนายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 คน สำหรับผลการสอบสวนคดีสำนวนคดีนี้ ทางพนักงานอัยการและคณะทำงานได้มีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมไป 2 ครั้ง

สำหรับนายเปรมชัย กรรณสูต ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ได้มีคำสั่งฟ้อง ข้อหาแรกคือ ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในตัวหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาที่ 2 ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น นำพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มากระทำการผิดกฎหมาย ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
นายเปรมชัยเราสั่งไม่ฟ้องบางข้อหา โดยข้อหาแรกคือ ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต จากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่า หรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร อันนี้เฉพาะนายเปรมชัย มีบางข้อหาที่เราสั่งฟ้อง และบางข้อหาที่สั่งไม่ฟ้อง

ส่วนนายยงค์ โดดเครือ เราสั่งฟ้องข้อหาเช่นเดียวกันกับนายเปรมชัย และมีเพิ่ม 1 ข้อหาคือ ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาอื่นสั่งฟ้องเช่นเดียวกัน กับนายเปรมชัย ส่วนข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องนายยงค์ โดดเครือ คือ ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ หรืออาวุธใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร

ผู้ต้องหาที่ 3 ที่บอกว่าเป็นแม่ครัว นางนที เรืองแสง ได้สั่งฟ้องเกือบทุกข้อหา มีสั่งไม่ฟ้องเพิ่มเติมนางนที ในข้อหา ร่วมกันล่าสัตว์ป่าด้วยเพิ่มมาอีกหนึ่งข้อหาที่สั่งไม่ฟ้อง เช่นเดียวกับนายธานีก็สั่งฟ้องเช่นเดียวกันกับนายยงค์ ทุกข้อหาเพิ่มไปอีก 1 ข้อหาคือ ข้อหาพยายามล่าสัตว์ป่า ส่วนข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องนายธานีจะมีร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำเครื่องมือ สำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์ และร่วมกันทำทารุณกรรมสัตว์ป่าโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ส่วนค่าเสียหายประเด็นที่สื่อสนใจที่พนักงานอัยการเรียกค่าเสียหายเท่าไรนั้น เป็นไปตามที่มีผู้ไปออกสื่อต่างๆนั้น ส่วนของเราที่เรียกค่าเสียหายได้ ความเห็นของเราให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 462,000 บาท ให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เนื่องจากตาม พรบ. เรื่องนี้ได้ฟ้องค่าเสียหายทางแพ่งไปกับอาญาได้เฉพาะที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนที่เกี่ยวกับ พรบ.สิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับระบบนิเวศ ก็เป็นหน้าที่ที่ทางเจ้าหน้าที่จะต้องไปเรียกร้องทางแพ่งต่างหาก อย่าสงสัยว่าทำไมคดีอาญาถึงเรียกร้องค่าเสียหายได้เพียงเท่านี้

สำหรับคำสั่งที่อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งที่บอกไปแล้วนั้น หลังจากที่มีคำสั่งแล้ว จะส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้ไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อให้มีความเห็นทางคดีว่า เห็นชอบในคำสั่งที่อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งไปหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ก็ได้ส่งสำนวนการสอบสวนทั้งหมดไปให้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แล้ว อันนี้เป็นไปตามกระบวนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/ 1 ซึ่งขณะนี้คณะทำงานได้เตรียมร่างคำฟ้องเรียบร้อยแล้วเพียงแต่รอความเห็น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ว่าท่านเห็นชอบกับคำสั่งอธิบดีอัยการภาค 7 หรือไม่ ถ้าเห็นชอบก็จะยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ตามคำสั่งที่เรามีได้ภายในกำหนด ถ้ามาเร็วก็ยื่นฟ้องได้เร็ว ที่มาแถลงวันนี้เหมือนกับสำนวนได้เตรียมทำไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอกระบวนการตามวิอาญาว่าให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 มีความเห็นอย่างไรเท่านั้น แต่หากมีความเห็นไม่เห็นด้วยแล้วกับคำสั่งอธิบดีอัยการภาค 7 แล้ว เรื่องจะเป็นอย่างไร ก็สำนวนนี้จะถูกส่งไปยังท่านอัยการสูงสุด เพื่อชี้ขาดความเห็นแย้ง แต่หากไม่แย้ง เรื่องจะกลับมาที่สำนักงานอัยการภาค 7 และจะยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิจ.กาญจนบุรีตามระบบต่อไป