ยาต้านโควิด-19 “ฟาวิพิราเวียร์” แพทย์ไทยซื้อตุนไว้ตั้งแต่มกราคม พอสำหรับผู้ป่วย 3,000 ราย
https://www.sanook.com/news/
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ทางการจีนเปิดเผยว่า จีนดำเนินการทดลองทางคลินิกกับ ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ยาต้านไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่ ที่แสดงประสิทธิผลทางการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ในระดับดี และสำนักงานบริหารเวชภัณฑ์แห่งชาติ (NMPA) ได้อนุมัติการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในปริมาณมากแล้ว
วันนี้ (21 มี.ค.63) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha เปิดเผยข้อมูล ที่มาของการใช้ยา Favipiravir ในประเทศไทย
“เราเป็นคณะแรกที่ใช้ยา favipiravir ตั้งแต่ 2015 เนื่องจากศึกษายาที่จะใช้รักษาโรคพิษสุนัขบ้าและศึกษายากลุ่มต่างๆที่ครอบจักรวาลรักษาไวรัส RNA และใช้ยาตัวนี้ในสัตว์ทดลองปรากฏว่าสามารถรักษาโรคพิษสุนัขบ้าในหนูได้ โดยที่หนูรอด 10% ทั้งๆที่ต้องตาย 100% และรายงานในวารสารโรคติดเชื้อของสหรัฐฯในปี 2016
และจากการรวบรวมข้อมูลของยาครอบจักรวาลต่างๆเมื่อมีโควิด-19 ระบาด ได้เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขรีบตุนยาตัวนี้ตั้งแต่ 24 มกราคม 2563 แต่ในที่สุดยาได้เข้ามารักษาผู้ป่วย ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์
และจำนวนยาใช้ได้พอสำหรับผู้ป่วยประมาณ 600 ราย และต่อมากระทรวงสาธารณสุขจึงได้พยายามซื้อยาจากที่ต่างๆ โดยล่าสุดได้มาเพียงพอสำหรับผู้ป่วยอีก 2857 ราย รวมกับที่เหลือ
จากล็อตแรกน่าจะอยู่ได้สำหรับผู้ป่วย 3000 กว่าราย และหวังว่าจะสามารถหาได้เพิ่มเติมอีก
ทั้งนี้ถ้าโชคดีผู้ป่วยไม่มากและเลือกใช้กับผู้ป่วยที่จำเป็นจริงๆ ในกรณีที่ได้มาเยอะมากๆ เหลือใช้ยังสามารถใช้กับไวรัสตัวอื่นได้”
โดยก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ตัวยา Favipiravir ซึ่งผลิตที่ญี่ปุ่นและจีน จะต้องใช้ยา 70 เม็ด ต่อผู้ป่วย 1 ราย
ฟาวิพิราเวียร์ มีหลายชื่อเรียก อาทิ T-705 ส่วนชื่อการค้าคือ Avigan และ Favilavir มีลักษณะโครงสร้างเป็นอนุพันธ์ไพราซีนคาร์บอกซาไมด์ (pyrazinecarboxamide derivative) ค้นพบโดยบริษัทโตยามะเคมิคอล (Toyama Chemical Co., Ltd) ในประเทศญี่ปุ่น
ยานี้ได้รับอนุมัติให้ใช้ในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 เพื่อใช้รักษาโรคไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล มีการใช้ยานี้ในช่วงที่มีการระบาดอย่างหนักของไวรัสอีโบลา (Ebola virus) ในแถบแอฟริกาตะวันตกช่วงปี พ.ศ. 2557-2559