http://www.matichon.co.th/news
“เรืองไกร”ยื่นหนังสือสรรพากรให้ยุติเก็บภาษีหุ้นชินฯขู่ถ้าไม่เลิกจะฟ้อง-“ปึ้ง”ก็มาด้วยแต่อ้างแค่มาแจงเรื่องภาษีนักการเมือง
เมื่อเวลา 10.15 น.วันที่ 27 มีนาคมที่กรมสรรพากร นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ได้มายื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมกรมสรรพากร เพื่อเตือนให้ทราบถึงการไปเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง ถ้ายืนยันจะเก็บภาษีอาจถูกฟ้องตาม ป.ป.ช. ในมาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ให้ยุติการตรวจสอบและประเมินภาษีจากนายทักษิณ ทันที
“ก่อนหน้านี้มีคนไปขู่เจ้าหน้าที่สรรพากรว่าถ้าไม่เก็บภาษีจากนายทักษิณ จะโดนมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่ผมมองว่าถ้าไปเก็บภาษีจากนายทักษิณ จะถูกฟ้องในมาตรา 123/1 และเตรียมรายชื่อฟ้องร้องไว้หมดแล้ว”นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า การมาพบเจ้าหน้าที่สรรพากรครั้งนี้ มาฐานะส่วนตัว ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจากนายทักษิณ แต่ก็พร้อมที่จะให้นายทักษิณแต่งตั้งเป็นตัวแทน เพราะในเรื่องหุ้นชินนั้นตนรู้ดี เพราะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ( คตส.) ซึ่งตนมองว่าสรรพากรไม่สามารถประเมินภาษีจากนายทักษิณได้ เพราะตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ชัดเจนว่า หุ้นชินคอร์ปที่ขายให้เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 นั้น ยังเป็นของนายทักษิณและคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร(ชินวัตร) มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงหมายถึงนายทักษิณขายหุ้นเทมาเส็กโดยตรงผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกำไรจากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี
นายเรื่องไกร กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามหากจะดำเนินการโดยไม่ยึดหลักของกฎหมายอ้างอภินิหารภาษี ก็ไม่สามารถประเมินภาษีนายทักษิณได้ ถ้าจะบอกว่านายพานทองแท้ ชินวัตร และนางพินทองทา คุณากรวงศ์ (ชินวัตร) บุตรชายและบุตรสาวเป็นนอมินี และเคยออกหมายเรียกไปแล้วนั้น แต่การประเมินภาษีดังนั้น ประเมินเงินได้ตามมาตรา 40(2) ในฐานะกรรมการทั้ง 2 เป็นบริษัทแอมเพิลริช แต่นายทักษิณ ไม่ใช่กรรมการดังนั้นจึงเข้าข่ายเงินได้ 40(8) การเสียภาษีเงินได้ 2 แบบต่างกัน ถ้าอิงมาตรา 40(2) หมดอายุความ 31 มีนาคม 2560 ตามที่รัฐบาลชุดนี้เข้าใจ แต่ถ้าเป็น 40(8) ต้องยื่นแบบและชำระภาษีคือ 30 กันยายน เพราะต้องยื่นรายได้ในลักษณะครึ่งปี ซึ่งการขายหุ้นเกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังนั้นกำหนดชำระภาษีคือวันที่ 30 กันยายน 2549 ดังนั้นเวลานี้เลยเวลาครบกำหนดระยะ 10 ปี มานานกว่า 6 เดือนแล้ว
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า กรณีจะอ้างหมายเรียกจากบุตรชาย บุตรสาว เป็นการประเมินจากนายทักษิณนั้น คงไม่สามารถทำได้ เพราะศาลภาษีอากรกลางได้พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินหมายเรียกทั้งสองคนไปแล้ว หากนำหมายเรียกดังกล่าวมาใช้อาจมีความผิดตามกฎหมายและถูกผู้เสียหายฟ้องร้องได้
“ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่อยากให้เกิดการฟ้องร้อง อยากให้หาทางพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ยุติการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว แต่ถ้ายังยืนยันเก็บภาษีต้องร้องต่อศาลฯ ส่วนจะฟ้องศาลอะไรนั้น ต้องดูหนังสือที่กรมสรรพากรส่งไปยังนายทักษิณว่ากรมจะอ้างเก็บภาษีจากอะไร ขณะนี้ยังไม่เห็นจากสรรพากร และ ยังไม่เห็นหมายเรียกเก็บภาษีที่จะไปปิดบ้านจันทร์ส่องหล้า”นายเรืองไกร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายเรืองไกร เดินทางมาที่สรรพากร นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางมาที่กรมสรรพากร ด้วย โดย นายสุรพงษ์ กล่าวว่า มาชี้แจ้งสรรพากรถึงการเสียภาษี เพราะเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่สรรพากรเรียกสอบว่าเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ยืนยันว่าที่ผ่านมามีการเสียภาษีอย่างถูกต้องมาตลอด พร้อมจะชี้แจงและให้ตรวจสอบ เพื่อความเป็นธรรม อยากให้ตรวจสอบภาษีคนในรัฐบาล คสช. รวมถึงกลุ่มนายทหารที่ร่ำรวยขึ้นด้วย