เมื่อวันที่ 1 พ.ค.เวลา 15.00 น.ที่โรงเก็บอากาศยาน เรือหลวงจักรีนฤเบศร ท่าเทียบเรือ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมด้วย พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ โฆษกกองทัพเรือ พล.ร.ท.พัชระ พุ่มพิเชษฐ์ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการโครงการจัดซื้อจัดจ้างเรือดำน้ำ และ พล.ร.ต.กฤษฏาภรณ์ พันธุมโพธิ ผู้อำนวยการ สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ พล.ต.วิศาล ปัณฑวังกูร ผู้บัญชาการกองเรือดำน้ำ กองเรือยุทธการ พร้อมด้วย คณะกรรมการการจัดซื้อจัดจ้างโครงการจัดหาเรือดำน้ำ yuan class S26T จากประเทศจีน 17 คนร่วมแถลงข่าว
พล.ร.อ.ลือชัย กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมามีข่าวจริงบ้าง คลาดเคลื่อนบ้างและบางคนก็โหนกระแสที่ยังไม่ชี้แจงเพราะกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างยังไม่จบสิ้นเป็นเอกสารลับของทางราชการ เปิดเผยไม่ได้ ซึ่งทำให้ถูกมองว่า กองทัพเรืออ่อนการประชาสัมพันธ์ ไม่สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน
เมื่อขั้นตอนการจัดซื้อได้ผ่านการพิจารณาของครม.แล้ว จึงเปิดเผยได้
ทั้งนี้กองทัพเรือได้เสนอความต้องการมาทุกรัฐบาล มากกว่ากึ่งศตวรรษ ซึ่งกระบวนการไม่แตกต่างกัน จึงอยากจะให้ปลดประเด็นกล่าวหาว่าไม่โปร่งจัดหา ตามกระแสหรือมีผลประโยชน์แอบแฝงยืนยันได้ว่าพิจารณาอย่างรอบคอบโปร่งใสบริสุทธิ์ยุติธรรมสามารถตรวจสอบได้
พล.ร.ต.ลือชัย กล่าวอีกว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นไปตามยุทธศาสตร์กองทัพเรือไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาไปกี่คนก็เป็นไปตามนี้ เพื่อจะสร้างเรือลำนี้ให้เป็นเรือรบของประชาชนมีความโปร่งใส ในลักษณะซื้อรัฐบาลต่อรัฐบาล คุ้มค่าในการใช้เงิน และทางจีนให้ระบบขีปนาวุธ ตอปิโด และทุ่นระเบิด มาพร้อมกับเรือ
พล.ร.อ.ลือชัย กล่าวว่า ส่วนอนาคตมีการยกเลิกโครงการดจะต้องจ่ายค่าปรับเท่าไหร่นั้นเป็นคำถามที่ตอบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนโยบายเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นการท้าทายอำนาจทางการเมืองแม่ตนเป็นเสนาธิการกองทัพเรือ ตอบเข้าข้างฝ่ายนี้ ต่อไปข้างหน้าก็จะโดนปลด ซึ่งขอยืนยันว่ากองทัพเรือใครจะมาใครจะไป กองทัพเรือยึดยุทธศาสตร์กองทัพเรือเป็นตัวตั้ง ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่มา แต่เรามีหลักการจัดซื้อแบบมีเหตุผล และได้ดำเนินการจ่ายเงินไปแล้ว 700 ล้านบาท หากรัฐบาลชุดใหม่มา แล้วบอกให้ทิ้งเงินจำนวนนั้นไป แล้วมาเริ่มใหม่ ก็ต้องตอบประชาชนให้ได้ว่าทิ้งเงินจำนวนนั้นเพื่ออะไร แล้วเหตุผลที่กองทัพเรือจัดซื้อจัดหา ไม่ถูกต้องตรงไหน จึงขอฝากไปยังรัฐบาลชุดต่อไปว่า ท่านจะเลิกหรือไม่เลิก ไม่ใช่กองทัพเรือ แต่อยู่ที่ตัวท่านตามหาก
“ไม่มีใบสั่งในการจัดซื้อเรือดำน้ำของจีน ซึ่งคณะกรรมการจัดซื้อมีหลักการยืนยัน ว่าจีนไม่มีอะไรแอบแฝง เขามีความเป็นมิตรที่ให้ข้อเสนอต่างๆมากมาย ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ออฟชั่นหรือของแถม มีคณะกรรมการ 22 คนร่วมตัดสินล้วนเป็นระดับหัวกะทิของกองทัพเรือที่มีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริตตรวจสอบได้ “
ด้านพล.ร.ท.พัชระ กล่าวว่า เรือดำน้ำเป็นความจำเป็นของประเทศ เพราะเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ที่มีคุณค่ามากในการเป็นหลักประกันความมั่นคงทางทะเลเราไม่มีเรือดำน้ำประจำการมากว่า60 ปี ซึ่งประเทศต่างๆในภูมิภาคเรามีเรือดำน้ำเข้าประจำการแทบทุกชาติ
พล.ร.ท.พัชระ กล่าวอีกว่า กองทัพเรือได้ศึกษา ดำเนินโครงการจัดหาเรือดำน้ำต่อเนื่องมากว่า30 ปีจนเกือบจะได้อนุมัติถึง2-3ครั้ง แต่มีเหตุต้องเลื่อนออกไป จนมาครั้งนี้การจัดหาไม่ได้เริ่มงบประมาณในปีนี้ เพราะดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี2558 โดยกองทัพเรือได้รับอนุมัติให้ศึกษาเรือดำน้ำที่มีความเหมาะสมกับความต้องการทางยุทธการ และภารกิจกองทัพเรือ จากนั้นได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาและพิจารณาประเทศที่ผลิตเรือดำน้ำถึง6 ประเทศ ซึ่งข้อเสนอของประเทศจีนสามารถตอบโจทย์ได้ทุกหลักการมากที่สุด นอกจากนี้ตามยุทธศาสตร์เราต้องการเรือดำน้ำ3 ลำ คือใช้ในการปฏิบัติการในทะเล1 ลำ เตรียมพร้อม 1 ลำ และซ้อมบำรุงตามวงรอบ 1 ลำ ซึ่งการจัดกาครั้งนี้เป็นการจัดหาลำที่1 แบบรัฐต่อรัฐในวงเงิน13,500 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณของกองทัพเรือเป็นราคาที่รวมการฝึกอบรมกำลังพล และระบบสนับสนุนต่างๆ ที่กองทัพเรือไทยไม่มีรองรับเลย ดังนั้นถือว่ามีความคุ้มค่าที่สุด
พล.ร.ต.กฤษฎาภรณ์ กล่าวว่า สำหรับงบประมาณที่ใช้จัดซื้อเรือดำน้ำเป็นงบประมาณของกองทัพเรือเอง
ไม่กระทบต่อค่าใช้จ่าย และไม่เป็นภาระของกองทัพเรือ สำหรับงบประมาณในการจัดซื้อเรือดำน้ำ13,500 ล้านบาท ทางกองทัพเรือไม่ได้ซื้อเรือดำน้ำในคราวเดียว แต่จะแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ โดยมีการผ่อนชำระเป็นเวลา7 ปี แบ่งเป็น 17 งวด ตามระยะเวลาสร้างเรือดำน้ำ แต่ละปีจะแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ เหมือนงานก่อสร้างทั่วไป แต่ละปีการจ่ายเงินแต่ละงวดจะแตกต่างกัน โดยทางกองทัพเรือได้เจรจากับจีนในการชำระเงินของแต่ละงวดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณแต่ละปี โดยงบปี2560 กองทัพเรือได้งบประมาณ 700 ล้านบาท ส่วนปี2561-2565 เป็นต้นไป ก็จะจ่ายเงินตามความก้าวหน้าของงาน เฉลี่ยปีละ 2,100 ล้านบาท
“สาเหตุที่กองทัพเรือไม่จัดซื้อเรือ3 ลำในคราวเดียวกัน เพราะว่างบประมาณที่ได้รับแต่ละปีมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นจึงต้องจัดหาทีละลำตามสภาพของงบประมาณ อย่างไรก็ตามการลงนามสัญญาซื้อขายเรือดำน้ำจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรมว.กลาโหมได้อนุมัติจ้างสร้างเรือตามระเบียบทางราชการเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนนี้ ส่วนการชำระเงินต้องชำระภายหลังการลงนามไม่เกิน 45 วัน ถือเป็นงวดแรก” พล.ร.ต.กฤษฎาภรณ์ กล่าว