เปิดตัวหนังสือ’สีจิ้นผิง ยุทธศาสตร์บริหารประเทศ’ วิษณุ แนะอ่านเป็นแนวทางปฏิรูปประเทศไทย

http://www.matichon.co.th/news/

 

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 เมษายน ที่รัฐสภา คณะผู้แทนจากจีนและสถานเอกอัครราชทูตจีน ร่วมกับ สำนักพิมพ์มติชน จัดงานเปิดตัวหนังสือ “สีจิ้นผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ” พร้อมทำพิธีมอบหนังสือและพิธีลงนามว่าด้วยความร่วมมือในการจัดพิมพ์หนังสือ โดยมี ศ.พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายเจี่ยง เจี้ยนกั๋ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารนิเทศแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน นายหนิงฟู่ขุย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย นายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการบริษัทมติชนจำกัด(มหาชน) และดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เข้าร่วม

ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า เมื่อปีที่แล้วท่านนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวในที่ประชุมครม.ว่าอยากแนะนำให้รมต.หาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน เมื่อปีใหม่ผมได้รับหนังสือสี จิ้นผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ ฉบับภาษาไทย ครอบคลุมสุนทรพจน์ บทความ การให้สัมภาษณ์ ข้อเขียนของท่านสี จิ้นผิง ในหนังสือ 548 หน้า แบ่งเป็นข้อเขียนสุนทรพจน์สั้นๆประมาณ 79 บท จัดเป็น 18 หมวดหมู่ ผมถือหนังสือเล่มนี้ไปถามท่านนายกฯประยุทธ์ว่าใช่หนังสือเล่มนี้ไหม ที่จริงคือต้องการจะบอกว่าผมจะอ่านแล้วนะ ท่านบอกว่าใช่ให้ไปอ่านแล้วมาคุยกัน

“หลายเรื่องมีบางอย่างคล้ายเรื่องศาสตร์พระราชา คล้ายนโยบายรัฐบาลท่านนายกฯประยุทธ์ หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่นิยายหรือสารคดี ไม่น่าเชื่อว่าอ่านแล้วสนุก แทบวางไม่ลง อ่านจบแล้วได้ความคิดหลายอย่าง ถ้าอยากรู้จักท่านสีจิ้นผิงเราสามารถอ่านจากหนังสือเล่มนี้ได้ ผมเชื่อว่าคนจะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นต้องเป็นนักอ่าน นักคิด นักพูด และนักเขียน และนักทำ อ่านหนังสือเล่มนี้จบรู้สึกว่า สี จิ้นผิงมีคุณสมบัตินี้อย่างสมบูรณ์ ท่านสี จิ้นผิง ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก จึงจดจำ รับรู้วรรณคดี เรื่องราวเก่าๆของจีนไว้มาก บทประพันธ์ กวีหลายอย่างท่านดึงมาใช้ระหว่างการแสดงสุนทรพจน์อย่างหมดจดงดงามถูกกาลเทศะและกินใจ สุนทรพจน์ของท่านจึงมีชีวิตชีวา สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของจีน ผสมผสานกับวัฒนธรรมยุคใหม่ได้เหมาะเจาะ

“คนเกรงว่าจีนเป็นมหาอำนาจและจะกวาดต้อนสิ่งต่างๆมาเสียหมด ท่านสีจิ้นผิงกล่าวว่า จีนเป็นประเทศใหญ่ แต่เวลากินข้าวเราจะกินทีละจาน นั่นคือกินแบ่ง ไม่ใช่กินรวบ เมื่อมีผู้ถามเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีน ท่านกล่าวว่ารองเท้านั้นของใครของมัน เจ้าของนั้นถึงจะรู้ว่ารองเท้านี้คับหรือหลวมไม่ คนอื่นหารู้ไม่

“เมื่อวานมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย ได้เน้นย้ำเรื่องสำคัญสองเรื่องคือยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ตกค่ำท่านนายกฯแสดงสุนทรพจน์ย้ำเรื่องอย่างเดียวกัน จากวันนี้ไป ประเทศไทยจะอยู่ในบรรยากาศ ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศไปทุกวัน ตลอดไป ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศไทยจะน่าสนใจ ถ้าเราได้ชำเลืองดูสิ่งที่ประเทศจีนได้ทำมาแล้ว ซึ่งมีแนวทางปรากฏอยู่ในหนังสือเรื่อง สี จิ้นผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ

“ท่านสี จิ้นผิงเริ่มต้นด้วยการประกาศว่า ต่อไปนี้จีนต้องเปิดประเทศและปฏิรูปประเทศ จะไม่ยอมแพ้ ไม่ย่อท้อ จะก้าวต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด ประโยคนี้หากไม่บอกว่าปธน.สี พูด แต่บอกว่าพล.อ.ประยุทธ์พูด ผมคิดว่าใครๆก็เชื่อ เมื่อท่านนายกฯประยุทธ์มีโอกาสพบ ปธน.สี จิ้นผิง กลับมาท่านเล่าให้ครม.ฟังว่าท่านสี จิ้นผิง สอบถามเรื่องการปฏิรูปประเทศไทย และให้กำลังใจว่างานนี้ต้องทำ แต่งานนี้ยิ่งใหญ่ยุ่งยากมาก จะต้องใช้เวลา จีนใช้เวลามาหลายสิบปียังไม่เสร็จและต้องทำต่อไป ประเทศที่ยังไม่เริ่มอะไร ต้องใช้เวลามากกว่าอีกหลายเท่า ท่านสี จิ้นผิงกล่าวสุนทรพจน์ไว้ว่าสำหรับจีนนั้นความปลอดภัยในชีวิตประชาชนต้องมาก่อน ประชาชนต้องเป็นศูนย์กลาง คำพูดเหล่านี้เราก็ฟังคุ้นๆไม่ใช่หรือ”

นายวิษณุกล่าวอีกว่า หนังสือเล่มนี้จะอ่านสนุกยิ่งขึ้น ถ้าผู้อ่านคิดเปรียบเทียบกับประเทศไทยไปด้วย ว่าจะเอาอะไรมาใช้ประโยชน์กับประเทศไทยได้บ้าง สิ่งหนึ่งที่ผู้อ่านต้องรำลึกหนังสือเล่มนี้แม้จะมีขนาดหนามากแต่เป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงสองปีเท่านั้น ในปี 2555-2557 เป็นช่วงเวลาก่อนคสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ เป็นช่วงที่ไทยมีการประท้วง มีความไม่สงบ รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่คสช.จะเข้ามา ขณะเดียวกันเป็นช่วงที่จีนเดินหน้าลุยเรื่องการบริหารประเทศ เรื่องยุทธศาสตร์ เดินหน้าประกาศเรื่องนิติรัฐ นิติธรรม ต่อต้านการทุจริตคดโกง เดินหน้าการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างประสบความสำเร็จ ในขณะที่ประเทศเรายังมีวิกฤตและไม่รู้ว่าประเทศจะมีอนาคตอย่างไร

“ผมเชื่อว่าหลังปี 2558 ท่านสี จิ้นผิงกล่าวสุนทรพจน์อีกหลายเรื่อง น่าสนใจว่าท่านเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ ควรมีการจัดทำหนังสือสี จิ้นผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศเล่มสองและสามตามมาให้เราได้ศึกษาเปรียบเทียบพัฒนาการ ช่วงเวลาต่อจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ของตัวเอง น่าจะทำออกมาเป็นของตัวเองเพื่อเปรียบเทียบกันได้

“ขอบคุณกระทรวงสารนิเทศของจีนที่ได้รวบรวมสุนทรพจน์ดีๆมาจัดพิมพ์รวมเป็นเล่ม ต้องขอบคุณฝ่ายไทย เครือมติชนที่ได้จัดแปลเป็นภาษาไทยอย่างสละสลวยงดงาม อ่านไม่ขัดหูได้บรรยากาศบทกวีต่างๆอย่างไพเราะ จีนและไทยมิใช่อื่นไกล เป็นญาติกัน คำพูดนี้ไม่ใช่คำพูดเอาใจ เราไม่เคยพูดกับประเทศอื่นนอกจากจีน ทางจีนก็ไม่เคยใช้คำพูดนี้กับประเทศอื่นนอกจากเราเช่นกัน เราเป็นญาติกันจริงๆทางสายโลหิต ญาติทางวัฒนธรรม การค้า ธุรกิจ หนังสือเล่มนี้ จะเป็นพยานหลักฐานถึงความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศที่เคยมีมาและจะมีตลอดไป” นายวิษณุกล่าวทิ้งท้าย

จากนั้นเป็นพิธีเปิดตัวหนังสือ พิธีมอบหนังสือ และพิธีลงนามว่าด้วยความร่วมมือในการจัดพิมพ์หนังสือ