http://www.matichon.co.th/news
เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 28 มี.ค. ที่ รร.เอสซีปาร์ค นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ในฐานะหนึ่งในทีมกฎหมายนายทักษิณชินวัตร อดีตนายกฯ แถลงข่าวภายหลังเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ได้ปิดเอกสารการประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณเกี่ยวกับหุ้นชินคอร์ปฯ ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาทในวันนี้ว่า ทีมกฎหมายเห็นว่านายทักษิณไม่มีภาระภาษีตามกฎหมายมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นนายทักษิณผู้ถูกประเมินจะใช้สิทธิ์อุทธรณ์เรื่องนี้ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในเวลา 30 วัน และจะสามารถจัดทำรวมทั้งยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้ได้ฟอร์มทีมนักกฎหมายขึ้นมาเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าวแล้ว เชื่อว่าจะสามารถอุทธรณ์และชี้แจงได้ทุกประเด็น ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการเรียกประเมินภาษี ทั้งนี้ นายทักษิณไม่มีภาระและความรับผิดที่จะต้องชำระภาษี เนื่องจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประเด็น อาทิ เคยมีคำพิพากษาสรุปความตอนหนึ่งได้ว่าหุ้นที่นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ซื้อมาจากแอมเพิลริช เป็นหุ้นของนายทักษิณและภริยา นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาถือหุ้นไว้แทนมิใช่เจ้าของแท้จริงของหุ้น ดังนั้นตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่จะสรุปว่ามีการซื้อขายหุ้นดังกล่าวระหว่างแอมเพิลริชกับนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาเพื่อประเมินภาษีได้อย่างไรในเมื่อหุ้นเป็นกรรมสิทธิ์ ของนายทักษิณและภรรยามาตั้งแต่ต้นทุรกรรมซื้อขายดังกล่าวจึงถือเสมือนว่าไม่ได้เกิดขึ้น จึงไม่มีเงินได้และภาระภาษี
นายนพดล กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นการขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กกระทำผ่านตลาดหลักทรัพย์จึงไม่มีภาระภาษีที่สำคัญเรื่องภาษีนี้จบไปนานแล้ว ขาดอายุความไปแล้ว ไม่สามารถขยายเวลาเพื่อประเมินภาษีได้ ทั้งนี้ เรื่องภาษีเกี่ยวกับหุ้นชินคอร์ปผ่านมาร่วม 10 ปีและหลายรัฐบาล แต่ทำไมยังมีความพยายามที่จะประเมินภาษีอีก แม้แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ก็ให้สัมภาษณ์เองว่ากรมสรรพากรระบุว่าเรื่องนี้ดำเนินการไม่ได้ แต่ทำไมวันนี้ยังติดประกาศประเมินภาษีอีก จึงมีคำถามว่าการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นการดำเนินการที่เท่าเทียม เสมอภาค สอดคล้องกับหลักนิติธรรมแล้วหรือไม่ ดังนั้นในกรณีที่มีการดำเนินการใดๆ ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายและหลักนิติธรรม มีการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อนายทักษิณ ท่านขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการฟ้องร้องตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นๆ และดำเนินการอื่นๆ ที่จำเป็นตามกระบวนการยุติธรรมในเวลาต่อไป เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนและเพื่อรักษาระบบกฎหมายและหลักนิติธรรม เนื่องจากหลักนิติธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและของประเทศเป็นอย่างยิ่งท่านจะอยู่ในต่างประเทศท่านก็ยังอยากเห็นประเทศมีหลักนิติธรรมที่จะนำไปสู่ความปรองดอง