http://www.matichon.co.th/news
“ผู้ว่ากทม.-พินิจ”เยือนจีนกระชับสัมพันธ์ ยกระดับความร่วมมือ‘กรุงเทพ-ซานตง’
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่อำเภอฉวี่ ฟู่ เมืองจี้หนิง มณฑลซานตง ประเทศจีน มีการพบปะพูดคุยระหว่าง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร กับนายสือ กวงเลี่ยง รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเมืองจี้หนิง พร้อมด้วย นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ และณะตัวแทนจากประเทศไทยและตัวเเทนจากประเทศจีนเข้าร่วม
นายสือ กวงเลี่ยง กล่าวว่า ที่ผ่านมาเมืองจี้หนิงได้ประชุมวางแผนพัฒนาระยะ 5 ปี จนถึงปี 2020 โดยยึดถือนโนบายของรัฐบาลกลางเป็นหลัก โดยเฉพาะความร่วมมือกับประเทศไทยกลุ่มอาเซียน รวมถึงประเทศไทย แนวคิดในความร่วมมือกับ กรุงเทพฯ มีหลายเรื่อง เรื่อวที่ 1 คือเรื่องการท่องเที่ยว ขณะที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังติดอันดับโลก จากการศึกษาข้อมูลด้านในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยประมาณ 20-30 ล้านคน ขณะที่เมืองจี้หนิงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่กี่แสนคนเท่านั้น ซึ่งถือว่ามีจำนวนน้อยมาก เลยอยากเรียนรู้เรื่องในการบริหารการจัดการท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ สำหรับเมืองจี้หนิง ฉวี่ ฟู่ เป็นเมืองของขงจื้อ เราก็ยินดีต้อนรับประชาชนจากประเทศไทยมาเที่ยว และทางรัฐบาลจี้หนิง ก็จะส่งเสริมให้ประชาชนไปท่องเที่ยวที่ประเทศไทยด้วย ซึ่งประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยเฉพาะช่วงตรุษจีน
นายสือ กวงเลี่ยง กล่าวอีกว่า ยังมีแนวคิดความร่วมมือ เรื่องที่ 2 เรื่องวัฒนธรรม เรื่องที่ 3 เรื่องการลงทุน ซึ่งเมืองจี้หนิงเป็นเมืองที่มีนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคและเทคโนโลยี รวมถึงอุตสาหกรรมต่างๆ ประมาณ 10 กว่าแห่งเหมาะกับนักลงทุนที่จะเข้ามา และรัฐบาลของเมืองจี้หนิงจะส่งเสริมให้นักลงทุนในเมืองไปลงทุนในประเทศไทยเช่นกัน
“ทั้งมลฑลซานตง เมืองจี้หนิงเป็นอันดับ 2 ในเรื่องของการผลักดันและส่งเสริมให้ชาวจีนไปลงทุนในต่างประเทศ รองจากเมืองชิงเต่า แต่บริษัทจากเมืองจี้หนิงที่เข้าไปลงทุนในประเทศไทยถือว่ายังไม่มาก ก็หวังว่าจะมีความร่วมมือในด้านนี้ และความร่วมมือเรื่องที่ 4 คือ เรื่องการค้าระหว่างประเทศ ก็อยากจะให้ช่วยกันพัฒนาตลาดและขยายเรื่องการพาณิชย์ระหว่างประเทศไทยและจีน” นายสือ กวงเลี่ยง กล่าว
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า แนวคิดในความร่วมมือ ทั้ง 4 เรื่องที่รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเมืองจี้หนิง นำเสนอมาตรงนี้ เป็นเรื่องที่ดี ที่เราจะต้องไปพิจารณาและดำเนินการ อย่างเรื่องวัฒนธรรมขงจื้อ เป็นวัฒธรรมเก่าแก่ คนไทยก็รู้จักขงจื้อมานานมากท่านเป็นปราชญ์ระดับต้นๆ ของโลก
“ประเทศไทยมีจุดเรียนรู้ประวัติศาสตร์ขงจื้อ 13 แห่ง ขณะที่ กทม.มีโรงเรียนในสังกัด 438 แห่งมีนักเรียนประมาณ 300,000 คน แต่เป็นที่น่าเสียดายเพราะเราไม่มีตำราที่จะศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ขงจื้อเลย ผมก็มีความหวังว่าได้รับการสนับสนุนให้ กทม.เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ขงจื้อ อาจจะได้รับการสนับสนุนเรื่องตำราต่างๆ จากประเทศจีน เพื่อเผยแพร่ความรู้ไปยังหอสมุด หอศิลป์ต่างๆ กระจายไปยังโรงเรียนต่อไป” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว
วันเดียวกันที่เมืองจี่หนาน มณฑลซานตง ประเทศจีน ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครได้พบปะหารือกับ นายซุน เหว่ย รักษาการผู้ว่า มณฑลซานตง พร้อมลงนามความรววมมือ(MOU) 2 ฉบับ คือ “ลงนามความร่วมมือด้านการศึกษา” และ “ลงนามความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว”
นายซุน เหว่ย รักษาการผู้ว่า มณฑลซานตง กล่าวว่า เป็นโอกาสที่ดีระหว่าง กทม.กับซานตงที่ได้มีความร่วมมือ เสนอความร่วมมือต่อไปนี้ ข้อที่ 1 กระชับความสัมพันธ์แน่นเเฟ้นขึ้น หลัง 2013 เคยลงนามความร่วมมือ พูดคุยกันในเรื่องความร่วมมือต่างๆ ในลำดับต่อไป โดยในครั้งนี้ก็ได้เชิญเลขานุการรัฐบาลมณฑลซานตงและผู้บริหารระดับสูง ทุกฝ่ายมาร่วมการประชุม แสดงถึงว่าฝ่ายซานตงมีเจตนาที่ดีและต้องการจับมือกับกทม. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าซานตงและกทม. จะเเลกเปลี่ยนไปมาหาสู่ และยกระดับความสัมพันธ์ทั้ง 2 ประเทศให้สูงขึ้น นำไปสู่การสถาปนาบ้านพี่เมืองน้องอย่างเป็นทางการ
“ข้อที่ 2 สามารถมีโครงการที่เป็นรูปธรรมร่วมกัน ซึ่งประเทศไทยและประเทศจีน มีหลายด้านที่จะเกิดความร่วมมือกันได้ อย่างการสร้างสาธารณูปโภค เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม และการเกษตรทันสมัย ตลอดจนการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งทางรัฐบาล จะสนับสนุนให้เอกชนเหล่านี้ร่วมมือกับประเทศไทย ข้อที่ 3 การส่งเสริมเรื่องการเเลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เช่น ศิลปะวัฒนธรรมการแสดง หนังสือ การกีฬาด้วย และจากการพูดคุยวันนี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทยและประเทศจีนยังมีโครงการที่สามารถทำร่วมกันได้อีกมากมาย ขณะที่พื้นฐานด้านความสัมพันธ์ระหว่างกันก็ดีเยี่ยม” นายซุน เหว่ย กล่าว
ด้านนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ กล่าวว่า เป็นโอกาสอันดีที่ กทม.ได้มาปรึกษาหารือกับมณฑลซานตง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ที่มีความสัมพันธ์อันดีมาตั้งแต่อดีตเเละนับวันจะเติบใหญ่แข็งแรงเพิ่มขึ้นทุกด้าน นับว่าเป็นความชาญฉลาดเเละสายตาแหลมคมที่เลือก กทม เป็นพันธมิตร ทั้งเรื่องการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว การกีฬา เทคโนโลยี การศึกษาต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเป็นคุณูปกาณร์ของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งมณฑลซานตง เเละกทม.มีจุดแข็งอย่างมาก กทม.แม้จะมีประชากรน้อยกว่า แต่เป็นหัวใจของประเทศไทย เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจการค้าการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญมากในอาเซียน ถ้าเอาจุดแข็งของทั้ง 2 เมืองมาร่วมกันพัฒนาความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล
นายพินิจ กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาการค้าของจีนกับไทยมีมูลค่า 9 แสนกว่าล้านสหรัฐ เป็นการเติบโตมิติใหม่จากพันล้าน หมื่นล้านเหรียญเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ถึงแม้การค้ามี่ผ่านมาฝ่ายไทยยังขาดดุลการค้ากว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในส่วนเรื่องการท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามากว่า 8 ล้านคน มีเที่ยวบินระหว่างกันประมาณ 1,200 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ยังมีเรื่องของยางพารา ซึ่งมณฑลซางตงเป็นผู้รับซื้อยางมากที่สุด แล้วในปีที่ผ่านมามีบริษัทล้อยางมาลงทุนในประเทศไทย ขณะที่มีนักลงทุนชาวไทยจำนวนมากมีความต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศจีน ผมเองก็ร่วมลงทุนกับบริษัทรับเบอร์วัลเลย์ ที่เมืองชิงเต่า ทำเรื่องเครื่องกรีดยางอัตโนมัติ