หมวดจรูญ สาบานหน้าศาลหลักเมือง พยานครูปรีชาเอาด้วยสาบานแสดงความบริสุทธิ์ใจ

https://www.matichon.co.th/news/

ความคืบหน้ากรณีหวยอลเวง 30 ล้าน ระหว่าง “ครูปรีชา” นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังษี กับ “ลุงจรูญ” ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการเกษียณตำรวจ ที่ประชาชนเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวในทุกช่องทาง โดยอยากจะทราบข้อเท็จจริงว่า ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของลอตเตอรี่ 30 ล้านบาทที่แท้จริง

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ 4 ก.พ.61 ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการเกษียณตำรวจ พร้อมด้วย นางลาวัลย์ วิมูล ภรรยา และลูกสาว ได้เดินทางมาสาบานตนต่อหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ตามที่เคยได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยมี นายศุภกร สุพรรณรังษี ทนายความ ตัวแทนของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เพื่อเยาวชน และสังคม พร้อมทีมงานร่วมเดินทางมาด้วย ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนงที่มารอนำเสนอข่าวเป็นจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าสังเกตการณ์และดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่รอบๆ บริเวณ

นอกจากนี้ยังมีประชาชนที่ทราบข่าวได้เดินทางมาดู รวมทั้งมีบรรดาญาติ และเพื่อนๆ รวมทั้งกองเชียร์ของ ร.ต.ท.จรูญ ได้เดินทางมามอบดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของ ร.ต.ท.จรูญ เป็นจำนวนมากเช่นกัน

โดยเมื่อ ร.ต.ทจรูญ พร้อมภรรยา และลูกสาวเดินทางมาถึง ได้ไปจุดธูปพร้อมกับท่องคำกล่าวบูชาสักการะองค์พระหลักเมือง จากนั้นก็ได้อ่านคำสาบานที่ร่างเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้บนกระดาษอย่างเสียงดังฟังชัดว่า

“ด้วยข้าพเจ้า นายจรูญ วิมูล ขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลกและขอสาบานต่อหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรี ว่า ในฐานะที่ข้าฯเคยรับใช้แผ่นดินไทยด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรงหากข้าฯไปขโมยลอตเตอรี่ใครมาอย่างที่ถูกกล่าวหาจริง ขอให้ข้าฯไม่ตายดี ครอบครัวญาติพี่น้องฉิบหายวายป่วง ลูกหลานสาปแช่งให้ชีวิตล่มจม เจอแต่ความหายนะไปตลอดชีวิต ไม่มีความสุข ทนทุกข์ทรมาน ตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ทั้งครอบครัว และขอให้ถูกสังคมประณามหยามเหยียดเป็นที่รังเกียจของคนในสังคม รวมไปถึงอาชีพการงานของครอบครัวล่มจม ไม่เจริญ หมดเนื้อหมดตัว เปรียบได้ดั่งขอทานข้างถนน ล้มป่วยทรมานไปทั้งชีวิต

แต่หากข้าฯกล่าวความจริงมาโดยตลอด ไม่ได้ไปขโมยลอตเตอรี่ใครมา และเป็นผู้โดนรังแกอย่างที่เกิดขึ้น ขอให้ข้าฯประสบความสำเร็จในทุกๆด้านเอาชนะหมู่มารได้โดยเร็ว ความสุข ความเจริญทั้งหลายทั้งปวง สุขภาพแข็งแรง อาชีพการงานเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทอง จงเกิดขึ้นแก่ข้าฯและครอบครัว ลูกหลาน ญาติพี่น้อง มิตรสหายทุกคน และประชาชนทุกๆคนที่เป็นกำลังใจให้แก่ข้าด้วยเทอญฯ

ร.ต.ทจรูญ กล่าวคำสาบานต่อว่า “และขอสาปแช่ง หากผู้ที่มากล่าวอ้างว่าลอตเตอรี่งวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 หายแล้วไม่ได้หายจริงๆ พยานทุกๆคนที่มิได้รู้เห็นถึงการซื้อลอตเตอรี่เลข 533726 แต่กลับมาเป็นพยานว่าเห็นให้กับผู้ที่อ้างว่าลอตเตอรี่ของตนหาย และนายตำรวจที่เรียกข้าพเจ้าไปเจรจาที่บ้านพักถ้าหากมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ รวมไปถึงตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีนี้กระทำการที่ไม่เป็นกลาง กลั่นแกล้งข้าฯ หรือแม้แต่มีผู้คิดร้าย คิดทำลายข้าฯ คิดกลั่นแกล้ง สร้างเรื่องโกหก สร้างความเท็จ พยานเท็จต่างๆ เพื่อที่หวังผลประโยชน์ในลอตเตอรี่ฉบับดังกล่าวเลข 533726 งวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ขอให้บุคคลเหล่านั้น ไม่ตายดี ครอบครัว ญาติพี่น้องฉิบหายวายป่วง ลูกหลานสาปแช่งให้ชีวิตล่มจม เจอแต่ความหายนะไปตลอดชีวิต ไม่มีความสุข ทนทุกข์ทรมาน ตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ทั้งครอบครัว และขอให้ถูกสังคมประณามหยามเหยียดเป็นที่รังเกียจของคนในสังคม รวมไปถึงอาชีพการงานของครอบครัวล่มจม ไม่เจริญ หมดเนื้อหมดตัว เปรียบได้ดั่งขอทานข้างถนน ล้มป่วยทรมานไปทั้งชีวิต สุดท้ายต้องจบชีวิตในคุก

“แต่หากบุคคลที่ข้าฯกล่าวถึงเป็นคนที่พูดความจริงมาโดยตลอด เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่โกหก ไม่สร้างเรื่องเท็จ ไม่ได้ช่วยเหลือ เรื่องโกหกมดเท็จ ไม่ได้หวังผลประโยชน์ ทำงานและกระทำการอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา ก็ขอให้ประสบความสำเร็จ มีแต่ความสุข ความเจริญทั้งหลายทั้งปวง สุขภาพแข็งแรง อาชีพการงานเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทอง จงบังเกิดแก่ครอบครัว ลูกหลาน ญาติพี่น้อง มิตรสหายทุกคนของท่าน”ร.ต.ท.จรูญ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การกล่าวคำสาบานในครั้งนี้ ร.ต.ท.จรูญ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที หลังจากแล้วเสร็จ ก็ได้ลงมาจากศาลหลักเมือง เพื่อให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน และระหว่างนั้น นายศุภกร สุพรรณรังษี ทนายความ ตัวแทนของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เพื่อเยาวชน และสังคม ได้แจ้งให้สื่อมวลชนทราบว่า ทราบว่าทางฝ่ายของ ครูปรีชา ใคร่ครวญ จะเดินทางมาร่วมสาบานด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงขอให้เวลาทางฝ่ายครูปรีชาสักระยะเวลาหนึ่งก่อน

โดยไม่นานนัก นางปณัญชยา สุขผล หรือเจ้เกียว ผู้ค้าสลากรายใหญ่ของจังหวัดกาญจนบุรี และเป็นพยานคนสำคัญของฝ่าย ครูปรีชา ใคร่ครวญ ที่ประกาศรับคำท้าสาบานต่อหน้าศาลหลักเมือง ตามที่ ร.ต.ท.จรูญ ประกาศท้าไว้ ก็ปรากฏตัวขึ้น โดยเจ้เกียวได้เดินทางมาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ไม่พบว่า นางรัตนาพร สุภาทิพย์ อายุ 58 ปี แม่ค้าที่ขายลอตเตอรี่ที่อ้างว่าขายให้กับ นายปรีชา รวมทั้ง นางสาวพัชริดา พรมตา อายุ 53 ปี แม่ค้าขายลอตเตอรี่ ที่อ้างว่าขายลอตเตอรี่ให้กับ นางรัตนาพร มาด้วยแต่อย่างใด

 จากนั้นเจ้เกียวได้จุดธูปและกล่าวบูชาสักการะองค์พระหลักเมือง พร้อมกล่าวคำสาบานที่ตัวเองได้เตรียมไว้มากล่าว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเช่นกัน โดยขณะนั้น ร.ต.ท.จรูญ ซึ่งยืนอยู่ด้านนอก เมื่อทราบว่าเจ้เกียวเดินทางมาถึง จึงเดินมาพบเจ้เกียวที่รออยู่บนศาลหลักเมือง สำหรับบรรยากาศระหว่างที่ทั้งคู่ได้เจอกันครั้งแรกค่อนข้างที่จะตึงเครียดพอสมควร โดยเจ้เกียวได้ร่างคำสาบานดังกล่าวมอบให้กับ ร.ต.ท.จรูญ 1 แผ่น ซึ่งคำสาบานดังกล่าวเจ้เกียวได้ลงมือร่างมาด้วยลายมือตนเอง และขอให้ ร.ต.ท.จรูญ สาบานตามคำที่เจ้เกียวร่างขึ้นมา โดย ร.ต.ท.ตอบรับและยินดีที่จะอ่านคำสาบานดังกล่าวในทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่ ร.ต.ท.กล่าวคำสาบานตามที่เจ้เกียวร่างมาให้แล้วเสร็จ เจ้เกียวก็ได้อ่านคำสาบานที่ ร.ต.ท.จรูญ เตรียมมาให้กล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนั้นสื่อมวลชนได้สอบถาม ร.ต.ท.จรูญว่า หลังจากนี้จะมีการพูดคุยกันหรือไม่ ซึ่ง ร.ต.ท.จรูญ ได้ตอบคำถามขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไรจะคุย”เมื่อพูดเสร็จก็ได้เดินลงจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในทันที เนื่องจากมีสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากรอสัมภาษณ์อยู่ เช่นเดียวกันกับเจ้เกียวที่สื่อมวลชนก็เฝ้ารอสัมภาษณ์อยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน

โดยตลอดช่วงเวลาดังกล่าวพบมีกลุ่มญาติ รวมทั้งเพื่อนๆ และประชาชนที่อยู่ฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ ต่างเข้ามาพบ พร้อมจับมือและมอบดอกไม้ และกล่าวให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีแม่ค้าขายลอตเตอรี่จาก จ.นครสวรรค์ ซึ่งขายลอตเตอรี่มานานกว่า 20 ปี ได้เดินทางมาให้กำลังใจ ร.ต.ท.จรูญ ด้วย โดยกล่าวแสดงความไม่พอใจพร้อมทั้งติติงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ชี้มูลว่า นายปรีชา เป็นเจ้าของลอตเตอรี่ และยังแจ้งข้อกล่าวหา ร.ต.ท.จรูญ ว่า “ยักยอกทรัพย์ตกหล่น” และข้อหา “รับของโจร” โดยขาดพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และเชื่อด้วยว่าพยานที่มาให้การฝ่าย นายปรีชา เป็นพยานเท็จทั้งหมด และไม่เชื่อว่าแม่ค้าขายลอตเตอรี่จะสามารถจดจำเลขบนลอตเตอรี่ทั้ง 6 ตัวได้ รวมทั้งลูกค้าด้วย และมองว่าทางตำรวจไม่ให้ความเป็นธรรมกับ ร.ต.ท.จรูญ

ขณะเดียวกันระหว่างที่เจ้เกียวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในหลายประเด็นเกี่ยวกับที่มาที่ไปของลอตเตอรี่ชุดดังกล่าวอยู่นั้น ก็ได้มีฝ่ายของ ร.ต.ท.จรูญ พยายามซักถามเรื่องความจำของเจ้เกียวอยู่ตลอดเวลา

สำหรับการให้สัมภาษณ์ระหว่าง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล รวมทั้ง คำสัมภาษณ์ของ นางปณัญชยา สุขผล หรือเจ้เกียว ต่างฝ่ายต่างยืนยันในความบริสุทธิ์ใจของตนเอง และยืนยันว่าตัวเองพูดความจริง เหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทุกครั้งที่ผ่านมา จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับ

ต่อมา ร.ต.ท.จรูญ พร้อมครอบครัว และทีมทนายความ ได้เดินทางไปที่บริเวณหน้าบ้านพักของนายตำรวจระดับสูง ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณ สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อจุดธูปสาบาน พร้อมกล่าวคำสาปแช่ง หากมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้วางแผนการ และสร้างพยานหลักฐานเท็จต่างๆ คิดหาวิธีการเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ เพื่อช่วยครูปรีชา

จากนั้นได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อยืนหนังสือขอเลื่อนวันนัดตามหมายเรียกครั้งที่ 1 จากเดิมที่คณะพนักงานสอบสวนนัดให้ไปพบในวันที่ 9 ก.พ.61 เวลา 10.00 น. แต่เนื่องจาก นายษิทรา ทนายความในคดี เดินทางไปต่างประเทศ อีกทั้งตนเองติดภารกิจต้องเตรียมตัวขึ้นศาล จึงขอเลื่อนวันนัดออกไปเป็นวันที่ 20 ก.พ.2561 เวลา 10.00 น. ปรากฏว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งว่า ให้ทาง ร.ต.ท.จรูญ นำหนังสือฉบับดังกล่าวไปยื่นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แทน เนื่องจากคดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ ตร.ภ.7 ซึ่งทางทีมงานทนายความฯ จะได้เดินทางไป กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อยื่นหนังสือในวันพรุ่งนี้ (5 ก.พ.61)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามชาวบ้านที่ขายเครื่องไหว้ศาลหลักเมืองเป็นหญิงคนหนึ่ง เล่าว่า ไม่อยากให้ใครมาสาบานในลักษณะนี้ เพราะศาลหลักเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะถ้าสาบานไปแล้ว และเราพูดอะไรออกไปเราก็ไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาอย่างไร ซึ่งหากคนหนึ่งคนใดโกหกก็อาจจะต้องมีอันเป็นไปตามคำสาบาน แต่เมื่อมาสาบานกันแล้ว ดังนั้นผลที่จะได้รับก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของใครของมัน

นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามประชาชนที่มาเฝ้าดูเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งต่างก็พูดว่า เชื่อว่าประชาชนทุกคนที่คอยติดตามข่าวนี้อยู่ อาจจะมีความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่แล้วซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะไปตัดสินว่าใครผิดใครถูกนั้นคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะต้องรอให้ศาลมีคำตัดสินเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าศาลจะให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย ส่วนการมาสาบานต่อหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในครั้งนี้ ผลที่ได้รับคงขึ้นอยู่กับกรรมใครกรรมมัน และทั้งสองฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจว่าใครกันแน่ที่โกหก ซึ่งเรื่องนี้มีสองคนเท่านั้นที่จะรู้ดี