อาการ’รปภ.’ตอบสนองได้ขยับนิ้วมือ แต่ระวังเกิดติดเชื้อ ไข้สูง สธ.รอผลคดีก่อนตั้ง กก.สอบวินัยราชการ

https://www.matichon.co.th/news/

จากกรณี นพ.ยอร์น จิระนคร สาธารณสุขนิเทศก์เขต 12 ขับรถชนนายสมชาย ยามดี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) บริเวณประตูฝั่งสถาบันบำราศนราดูร ของกระทรวงสาธารณสุขจนได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องผ่าตัดเปิดกะโหลก ซึ่ง นพ.ยอร์นก็ได้ออกมาแถลงข่าวยอมรับผิดและขอรับผิดชอบทุกอย่างกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน นพ.สกล สุขพรหม รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวถึงอาการของนายสมชาย ยามดี เจ้าหน้าที่ รปภ.สธ. ที่ถูกชนได้รับบาดเจ็บว่า จากการตรวจอาการเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบว่าอาการคงที่ สัญญาณชีพปกติ ระดับความรู้สึกตัวสามารถตอบสนองดีขึ้น โดยยกมือยกเท้าได้ และเมื่อบอกให้ชู 2 นิ้วก็สามารถทำได้ ซึ่งพูดได้ว่าสัญญาณตอบสนองทางสมองอยู่ในระดับดี เพียงแต่ยังพูดไม่ได้ว่าดีจนพ้นวิกฤต เนื่องจากยังไม่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง ต้องใช้ท่อช่วยหายใจ จึงต้องประเมินต่อไปว่าอีก 1-2 สัปดาห์หากยังหายใจเองไม่ได้ก็จำเป็นต้องเจาะคอ ทั้งนี้ ยังพบว่ามีไข้สูงประมาณ 38.2-38.3  องศาเซลเซียส จึงต้องมีการปรับยาปฏิชีวนะ

ผู้สื่อข่าวถามว่าอาการไข้เกิดจากภาวะใด นพ.สกลกล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ เนื่องจากอาการไข้อาจเกิดจากหลังการผ่าตัด หรือมาจากการติดเชื้อก็เป็นได้ จึงจำเป็นต้องมีการเพาะเชื้อคาดว่าจะทราบพบ 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลได้ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องสิทธิการรักษา เนื่องเป็นอุบัติเหตุผู้ป่วยก็สามารถรักษาฟรี 72 ชั่วโมง

ด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการเข้าเยี่ยมผู้บาดเจ็บเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่าตอบสนองได้ด้วยการขยับมือ ขยับนิ้ว เพียงแต่อาการอื่นๆ ยังคงที่ และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จึงต้องอยู่ห้องอาร์ซียู รพ.พระนั่งเกล้า ซึ่งเป็นห้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม สำหรับการดูแลช่วยเหลือนั้น ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และปลัด สธ. ได้กำชับให้ดูแลอย่างดี ส่วนเรื่องคดีจะเป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยด้วยหรือไม่ เนื่องจาก นพ.ยอร์น จิระนคร สาธารณสุขนิเทศก์เขต 12 กระทรวงสาธารณสุข เป็นข้าราชการระดับสูง พญ.พรรณพิมลกล่าวว่า ปกติขั้นตอนจะเข้าสู่กระบวนการทางคดี โดยทราบว่า นพ.ยอร์นได้เดินทางไปสถานีตำรวจแล้ว อย่างไรก็ตาม หากคดีสิ้นสุด ตามระบบราชการก็จะมีการพิจารณาว่าเกี่ยวโยงกับระเบียบราชการอย่างไรบ้าง และจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามระเบียบของข้าราชการพลเรือน พิจารณาขึ้น แต่ขณะนี้คดียังไม่สิ้นสุดขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการก่อนจะดีกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมถึงไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยควบคู่ไปกับการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พญ.พรรณพิมลกล่าวว่า การที่ไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนควบคู่ไปนั้น เพราะต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าตำรวจก่อน หากเราตั้งควบคู่ไปก็จะเหมือนเราทำเรื่องแทนตำรวจ แต่หากเกิดกรณี นพ.ยอร์น หลบหนีทาง สธ.ก็จะสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบราชการได้เลย อย่างไรก็ตาม อยากให้สังคมมั่นใจว่ากระบวนการทางกฎหมายใหญ่ที่สุด และการไปรับโทษทางกฎหมายถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือใครก็ไม่สามารถหนีพ้นกระบวนการทางกฎหายได้ แต่หากกระบวนการทางกฎหมายสิ้นสุดลง สธ.ก็จะนำผลความผิดทางกฎหายมาประกอบการพิจารณา และขอให้สังคมมั่นใจว่า สธ.ไม่นิ่งนอนใจหากผู้กระทำผิดหลบหนีหรือไม่รับผิดชอบเราจะดำเนินการตามระเบียบข้าราชการพลเรือนทันที ซึ่งเบื้องต้นผู้กระทำผิดก็ได้ออกมารับผิดชอบและให้ความร่วมมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น