วิษณุ ชี้ รีดภาษีหุ้นชินฯเรื่องยาก แต่ต้องยอมเสี่ยง จ่อประเมินใหม่-ต่ออายุความอีก10ปี

http://www.matichon.co.th/news/

วิษณุ

 

‘วิษณุ’เรียก’สรรพากร’เตรียมพร้อมออกใบประเมินภาษีหุ้นชินคอร์ป เผยแม้วมีสิทธิอุทรณ์ ใน 30 วัน แนะพูดในชั้นศาลให้หมดจะได้จบ แจงอภินิหารทางกฎหมาย Miracle Of Law รัฐบาลเสี่ยงในช่องทางที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียกนายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เข้าหารือเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้กรมสรรพากรได้มารายงานการเตรียมการเรียกเก็บภาษีตามที่ได้รับมอบหมายไป แต่มีปัญหาอยู่ 2-3 เรื่อง เลยอยากรู้ว่าวิธีการแก้ของเขาถูกหรือผิด แต่ถึงอย่างไร การประเมินภาษีจะทำภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ซึ่งกรมสรรพากรมีฐานตัวเลขอยู่แล้ว ก่อนส่งคำประเมินดังกล่าวไปยังนายทักษิณอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากนั้นถือว่าอายุความที่จะครบ 10 ปี หยุดลงทันที แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ไปอีก 10 ปี ซึ่งเป็นกระบวนการปกติในคดีทางแพ่ง โดยนายทักษิณมีสิทธิอุทธรณ์คำประเมินภาษีนั้นได้ภายใน 30 วัน ยืนยันกรมสรรพากรพร้อมดำเนินการ ส่วนข้อกังวลว่ากรมสรรพากรจะถูกฟ้องกลับนั้น การถูกฟ้องคงห้ามไม่ได้ แต่เมื่อถูกฟ้องแล้วแพ้หรือชนะ เป็นสิ่งที่ให้ความมั่นใจกันได้ และไม่ต้องมีมาตรการพิเศษคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ รัฐบาลดำเนินการไปตามกฎหมายปกติ ส่วนที่อธิบายว่าเป็นอภินิหารทางกฎหมาย หรือ Miracle Of Law นั้น เพราะเราเจอช่องทางที่สมควรจะเสี่ยงดูในเรื่องที่คิดว่าไปไม่ได้

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะเก็บภาษีได้ นายวิษณุกล่าวว่า เราไม่ใช่คำว่ามั่นใจ แต่เราต้องทำตามกระบวนการ ส่วนจะได้หรือไม่ก็ว่าไปตามกระบวนการ ตนอธิบายต่อที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นสีดำกับขาว เราจะไม่ทำให้เป็นสีดำ แต่เรื่องนี้เป็นสีเทา กรมสรรพากรตอบคำถามไม่ได้ว่าสิ่งที่ไม่เคยทำเพราะปิดเรื่อง ถูกหรือผิด ถ้ายืนยันว่าถูกและเห็นด้วย เราก็จบแล้วปิดเรื่อง สังคมจะด่าอย่างไรก็ช่าง แต่เมื่อไม่มั่นใจ อาจจะตีความได้ก็ให้ศาลดำเนินการ จะได้เป็นมาตรฐานต่อไป

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่านายทักษิณถูกคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านแล้ว จึงไม่ต้องเสียภาษีส่วนนี้ นายวิษณุกล่าวว่า มันเป็นคนละเรื่องกัน จำนวนเงินดังกล่าวไม่ใช่ภาษี เป็นการถูกยึดตามคดีอาญาเรื่องทุจริต ภาษีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบางอาชีพที่ผิดกฎหมายยังต้องเสียภาษี

“ภาษีที่จะเรียกเก็บคือส่วนต่างราคาหุ้นที่รับมา 1 บาท แต่ไปขาย 49 บาทในตลาดหลักทรัพย์” นายวิษณุกล่าว เมื่อถามย้ำว่า มีการระบุว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี นายวิษณุ กล่าวว่า “มันเป็นเทคนิคหนึ่งที่เอาไว้ไปพูดในศาล สตง.ยืนยันว่าต้องเสีย รัฐบาลก็บอกกับกรมสรรพากรไปพิจารณาที่มีช่องทางให้ไปแปลความกันในศาลแล้วกัน ว่าต้องเสียหรือไม่ บางคนก็บอกว่ากฎหมายระบุชัดอยู่แล้วว่าไม่ต้องเสีย แต่กฎหมายอย่างนี้มันแปลได้หลายอย่างในบางกรณี ซึ่งไม่ใช่สองมาตรฐาน แต่เป็นเจตนาซึ่งผมไม่อยากไปเปรียบเทียบ กรมสรรพากรไม่เคยคิดว่าเป็นอย่างนี้มาก่อน ดังนั้น จึงต้องไปตีความกันในศาล คุณอย่าคิดเองว่าถูกหรือผิด อย่าเพิ่งไปเดาใจว่าเขาจะฟ้องกันอย่างไร ทุกอย่างไปพูดกันในศาลให้หมดจะได้จบ” นายวิษณุกล่าว

เมื่อถามว่า กรมสรรพากรได้ชี้แจงหรือไม่ ว่าเหตุใดถึงไม่ดำเนินการในช่วงเวลาที่ผ่านมา นายวิษณุกล่าวว่า มีการชี้แจงแล้ว ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่อธิบายสั้นๆ กับสื่อไม่ได้ เขามีเหตุผลไม่ดำเนินการอยู่ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 50-55 แต่อาจจะใช้เวลา เพราะต้องรอฟังข้อเท็จจริงที่เพิ่งปรากฏ หากมีมูลจะดำเนินการสอบวินัย ส่วนผู้ที่เกษียณไปแล้วก็ดำเนินการทางวินัยไม่ได้ แต่ถ้ามีมูลทางอาญามันมีอายุความอยู่

ด้าน พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพากร สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ ปปง. หารือถึงแนวทางตามกระบวนการกฎหมาย ทั้งนี้ ในส่วนของ ปปง.มีหน้าที่สนับสนุนข้อมูลในเรื่องของการติดตามทรัพย์สินของนายทักษิณ ซึ่งตามกฎหมายการฟอกเงินถือว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะหากกลายเป็นคดีฟอกเงิน คดีจะไม่มีหมดอายุความ และสามารถสืบและยึดทรัพย์ย้อนหลังไปได้ ต่อให้เวลาผ่านไปแล้วหลายปีก็ตาม

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ชัยยะยังกล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งเพียง 8 เดือน สามารถดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์ในคดีสำคัญไปมากกว่า 5 หมื่นล้านบาทแล้ว และยังมีคดีใหญ่ๆ ที่มีมูลค่าสูง ที่คาดว่าจะสามารถดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์ได้อีกจำนวนมาก