http://www.matichon.co.th/news
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานว่า ได้แจ้งความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เพื่อเรียกปรับค่าเสียหาย 80 เปอร์เซ็นต์ ต่อที่ประชุมขณะนี้มีความคืบหน้า 30 – 40 เปอร์เซ็นต์ มีทั้งหมด 987 คดี และได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อไต่สวนทั้งหมดแล้ว โดยคาดว่าภายในเดือนมิถุนายนจะสามารถสรุปสำนวนคดีทางแพ่งและอาญาส่งอัยการฟ้องศาลได้ และอีกส่วนหนึ่งจะส่งให้หน่วยงานต้นสังกัดของผู้กระทำความผิดพิจารณาลงโทษ
นายประยงค์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือการดำเนินการกับคดีที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบนข้ามชาติ ซึ่งได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาดำเนินการศึกษาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อกำหนดมาตรการป้องกัน และศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยขณะนี้มีองค์กรอิสระเข้ามาประเมินประเทศไทย ประเด็นที่ประเมินเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินด้วย ทำให้ที่ประชุมสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประเมินดังกล่าว ให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาสจากการประเมินดังกล่าว
นายประยงค์ กล่าวว่า นอกจากนี้องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ ที่ตั้งอยู่ในประเทศเยอรมัน ได้ประเมินมาตราวัดด้านการคอร์รัปชั่น ระบุว่าการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลดีขึ้น โดยถามประชาชนทั้งภูมิภาคอาเซียนกว่า 20,000 คน โดยก่อนหน้านี้มีการประเมินเมื่อปี 2013 พบกว่าประชาชนคนไทย 66 คน บอกว่าสถานการณ์การทุจริตรุนแรงขึ้น แต่ในปี 2017 มีเพียงร้อยละ 14 ที่บอกว่าการทุจริตรุนแรงขึ้นดังนั้นจะเห็นว่าสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยมีตัวชี้วัดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำในที่ประชุมให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจต่อประชาชนเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริต และการทำงานของทุกหน่วยงานต้องมีความโปร่งใส่ ไม่ขัดแย้ง เพื่อให้งานเดินหน้าอย่างมีประสิทธิ์ภาพ
เมื่อถามว่าได้หยิบยกคดีใหญ่ๆ เช่น คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปมาหารือหรือไม่ นายประยงค์ กล่าวว่า นายกฯได้กำกับว่าอย่าให้คดีใหญ่ๆเกิดขึ้นและปล่อยให้เรื้อรังอีก ต้องแก้ของเก่าให้เร็วที่สุด ให้เป็นไปตามกฎหมาย อย่าให้เกิดปัญหาใหม่ และอย่าให้มีความวุ่นวายเกิดขึ้น