‘บิ๊กโด่ง’เผย จีน-ยูเครน พร้อมลงทุนโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ในไทย

http://www.matichon.co.th/news/

อุดมเดช

 

“บิ๊กโด่ง” เผย จีน -ยูเครน พร้อมลงทุนโรงงานอาวุธ แต่รอความชัดเจนจากไทย พร้อมแก้ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องเปิดทาง

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ที่อาคารอิมแพคฟอรั่มศูนย์แสดงสินค้า และการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการรับฟังความคิดเห็นสรุปผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 4 เรื่องการพัฒนากิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และมอบนโยบายการพัฒนากิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม

โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ฐิตินันท์ ธัญญสิริ ผอ.ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

การจัดสัมมนาดังกล่าวเป็นการสรุปผลการสัมมนาที่มีขึ้นมาก่อนหน้านี้ จำนวน 3 ครั้ง ได้ข้อสรุปว่า การจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างอาวุธนั้น จะตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดข้อปฏิบัติให้ชัดเจน ข้อดีข้อเสีย และเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณา ใน 3 รูปแบบ คือ 1.ให้ส่วนราชการจัดตั้ง 2.ภาคเอกชนและส่วนราชการร่วมกันจัดตั้ง 3.ภาคเอกชนจัดตั้ง สำหรับผู้ลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานซ่อมสร้างในไทยนั้น ต้องเสนอให้ ครม.เพื่อแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องประมาณ 3 ฉบับ

ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องการพัฒนากิจการด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการวิจัยพัฒนาเพื่อมุ่งไปสู่การผลิตใช้ในราชการและเพื่อการพาณิชย์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2560 และเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านความมั่นคงและลดภาระงบประมาณในการนำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยการส่งเสริมและแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนจากภายในและภายนอกประเทศ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางทหาร เพื่อสนับสนุนนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล

โดย พล.อ.อุดมเดชกล่าวปิดสัมมนาในตอนหนึ่งว่า การสัมมนาครั้งนี้มีความสำคัญ เพื่อสนองตอบนโยบาย พล.อ.ประวิตร เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เป็นรูปธรรม และขอเน้นย้ำหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมให้ความร่วมมือในด้านการผลิต โดยกำหนดความต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ล่วงหน้า 5 ปี หรือในระยะยาว พร้อมให้ความสำคัญเข้าร่วมประชุมกับศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารทุกครั้ง โดยเฉพาะในวันที่ 17 มีนาคม พร้อมบูรณาการความต้องการ ทั้ง กระสุน วัตถุระเบิด ซ่อมยานยนต์ทุกประเภท และทำให้ผลผลิตการวิจัยมีมาตรฐานไปสู่สายการผลิต จัดทำโครงการ 5 ปี ให้เสร็จเดือนเมษายนนี้ สำหรับการตั้งโรงงานซ่อมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์กับมิตรประเทศนั้นขอให้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ของโครงการ หนทางการปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมและขอให้ดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนเมษายนนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา แต่ในส่วนการปรับแก้ไขประกาศกระทรวงกลาโหมเรื่องรายการยุทธการทางทหารสามารถดำเนินการได้เร็วกว่า

หลังจากนั้น พล.อ.อุดมเดชให้สัมภาษณ์ว่า ในเรื่องของอุตสาหกรรม ป้องกันประเทศประชาชนมักจะมองในด้านลบเป็นส่วนมาก ซึ่งอยากชี้แจงว่า การดำเนินดังกล่าวมีผลดีในหลายด้าน ทำไมเรื่องของประโยชน์ของการพึ่งพาตัวเอง ส่วนกองทัพ สำหรับความร่วมมือกับมิตรประเทศในการตั้งโรงงานซ่อมสร้างกับจีนยูเครน อยู่ในระหว่างการดำเนินการ เพื่อหาแนวทาง ซึ่งก็มีหลักการอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาศึกษาอีกสักระยะหนึ่ง ก็จะทำให้หนทางในการปฏิบัติมีความชัดเจน และนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้

พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า การร่วมมือกับมิตรประเทศในการตั้งโรงงานซ่อมสร้างนั้นมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าในอนาคตเมื่อเรามีอุปกรณ์จากมิตรประเทศเข้ามา หากชำรุด ต้องเข้ารับการซ่อมบำรุง หากเราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง หรือผลิตชิ้นส่วนอะไหล่บางอย่างที่มีความจำเป็นต้องใช้ สามารถลดปัญหาในเรื่องการใช้งบประมาณได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ทางประเทศจีนและยูเครนมีความพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้วเพียงแต่เขารอแนวทางความชัดเจน

” การตั้งโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์จะต้องมีการแยกว่ายุทโธปกรณ์ชนิดไหนซื้อมาจากประเทศไหน อย่างของจีนหรือยูเครนก็ต้องแยกกันนำมารวมกันไม่ได้ รวมทั้งความยินยอมของมิตรประเทศหากยอมรับในข้อตกลงได้ก็สามารถดำเนินการเข้ามาลงทุนได้ทันทีไม่จำเป็นที่จะต้องทำพร้อมๆ กันทุกประเทศ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มีห้วงระยะเวลาในการดำเนินการอยู่แล้ว รวมทั้งสำรวจยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่เราใช้อยู่ หากของประเทศใดมีจำนวนไม่มากนักก็ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงงานซ่อมสร้าง และยืนยันว่าการจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างจะไม่เป็นการผูกขาดว่าการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่อไปจะต้องมาจากประเทศนั้นๆ ส่วนพื้นที่ที่จะตั้งโรงงานซ่อมสร้างนั้นได้ลงพื้นที่เอาไว้แล้ว” รมช.กลาโหมกล่าว