https://www.matichon.co.th/news/
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวระหว่างการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้แก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ(ทูตพาณิชย์) ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบาย ว่า จากการรับฟังข้อมูลของทูตพาณิชย์ทั่วโลก และปัจจัยกระทบการส่งออกในปี 2561 จึงได้ตั้งเป้าหมายจะผลักดันการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้น 8% มีมูลค่ากว่า 255,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เน้นผลักดันการส่งออกไปยังเมืองรองและตลาดใหม่ โดยเฉพาะจีน จะมุ่งเพิ่มมูลค่าและส่งออกผลไม้ตามยุทธศาสตร์ ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลก
ทั้งนี้ ในเป้าหมายการขยายตัว 8% นั้น อเมริกาเหนือโต7% ยุโรปโต5% ตะวันออกกลางโต 5% ลาตินอเมริกา โต3% แอฟริกาโต 11% รัสเซียโต 30% จีน-ฮ่องกง โต 10% เอเชียใต้โต 8% เอเชียตะวันออกอย่างไต้หวันโต 7% ญี่ปุ่นโต8% เกาหลีใต้โต 12% อาเซียนโต 6.5% ออสเตรเลียโต8%
สำหรับปัจจัยเอื้อการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามคาดการณ์ไว้ คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย อาเซียน เป็นต้น ราคาน้ำมันตลาดโลกเริ่มอยู่ระดับที่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัว การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เอเชียใต้ รัสเซีย กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช หรือ CIS และแอฟริกาใต้ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยง คือ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมาก หากเทียบค่าเงินบาทจะแข็งค่ากว่าประเทศคู่ค้า
ในส่วนกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกปี 2561 จะเกิดขึ้นภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ ผ่าน 340 กิจกรรม ได้แก่ 1.การขยายตลาด เช่น สร้างหุ้นส่วนทางธุรกิจ อย่างลาว เวียดนาม ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร รัสเซีย อินเดีย จีน เป็นต้น รวมถึงการบุกเมืองรอง เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม ยกระดับสินค้าไทย 2.ธุรกิจบริการ ผลักดันธุรกิจเพื่อสุขภาพ การให้บริการด้านการรักษา การผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลคอนเทนต์ในอาเซียน สนับสนุนธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นต้น
นายสมคิด กล่าวภายหลังประชุมว่า กระทรวงฯได้รายงานสถานการณ์การค้าปี 2560 มีมูลค่า 236,694 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.9% สูงสุดรอบ 6 ปี โดยมั่นใจแนวโน้มการส่งออกไทยปี 2561 ดีขึ้นและขยายตัวได้ 8% มีมูลค่าการค้า 255,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งได้เน้นย้ำให้กระทรวงพาณิชย์ทำให้ได้ตามตั้งเป้าหมาย โดยบทบาทและรูปแบบการทำงานของทูตพาณิชย์ ต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น และให้บูรณาการทำงานร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สนับสนุนผู้ประกอบการเข้าไปลงทุน และให้เพิ่มสำนักงานฯในทุกภูมิภาคในญี่ปุ่นและจีน รวมทั้งการเสริมกำลังคนใน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตลาดมีกำลังซื้อสูง
นอกจากนี้ มอบนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมมือนำเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซ มาช่วยเพิ่มช่องทางการค้าให้เอสเอ็มอีเพื่อให้ขายได้จริง พาไปโรดโชว์ และจัดจับคู่ธุรกิจ ขอให้ทุกฝ่ายลงมือทำอย่างจริงจัง รวมทั้งต้องร่วมกันทำฐานข้อมูลแต่ละภูมิภาค(บิ๊กดาต้า) ที่จะเจาะลึกข้อมูลในทุกด้านทั้งการค้า การลงทุน นักธุรกิจ ชนิดธุรกิจ เป็นต้น โดยให้มีความคืบหน้าชัดเจนภายใน 3 เดือน ซึ่งการมีบิ๊กดาต้าและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
ส่วนกรณีเงินบาทแข็งค่า ทุกฝ่ายดูแลมาโดยตลอด และยืนยันจะไม่เข้าไปแทรกแซงค่าเงิน ขอให้ภาคเอกชนใช้โอกาสนี้ออกไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น และให้กรมสรรพากร หามาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนออกไปลงทุนในต่างประเทศและนำเม็ดเงินกลับมาไทย