นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 35 ที่จ.สุราษฎร์ธานี เป็นวันที่สอง ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ในภาคบ่ายได้จัดได้มีการแบ่งกลุ่มสมาชิกหอการค้าจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อระดมความคิดเห็นและหาข้อสรุปออกมาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และแผนงานของหอการค้า ได้แก่ กลุ่มที่1 เรื่อง “Executing Trade and Investment with Inclusive Growth” มีนายสนั่น อังอุบลกุล เป็นประธานกลุ่ม กลุ่มที่2 เรื่อง “Executing Agriculture and Food Peocessing with Inclusive Growth” มีนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ เป็นประธานกลุ่ม และกลุ่มสุดท้าย เรื่อง “Executing Tourism and Services with Inclusive Growth” มีนายภูมินทร์ หะรินสุต เป็นประธานกลุ่ม ทั้งนี้หอการค้าไทยจะนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทั้ง 3 กลุ่มจัดทำเป็นสมุดปกขาวยื่นต่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่จะมาร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้

นายกลินท์ กล่าวว่า กลุ่มแรก การค้าและการลงทุน มีการหารือในประเด็นเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน ซึ่งหอการค้าไทยมองว่า การปรับตัวเข้าสู่อี-บิสซิเนส เป็นแนวโน้มสำคัญทางการค้าและเป็นโอกาสดีสำหรับสินค้าที่มีศักยภาพของท้องถิ่นในการเข้าสู่ระดับสากล และควรส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยอาจต้องจัดตั้งหน่วยงานของไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนไทยในประเทศนั้นๆ ส่วนโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จะต้องผลักดันให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีตลอดจนจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกับผู้ลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม

กลุ่มที่ 2 การเกษตรและแปรรูปอาหาร หอการค้าไทยมองว่าประเทศไทยควรจะขับเคลื่อนสู่เมืองนวัตกรรมด้านอาหาร เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมอาหารให้มีมูลค่าสูงขึ้น เน้นเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านอาหารเพื่อให้สามารถขายสินค้าในปริมาณน้อยให้ได้มูลค่ามาก ขณะเดียวกันก็ต้องใช้การตลาดนำการผลิตโดยควรพัฒนาซอฟต์แวร์ต้นแบบในการเก็บข้อมูลและการคาดการณ์ต่างๆด้วยระบบเทคโนโลยีในสินค้าเกษตรด้วย

กลุ่มที่ 3 การท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นหัวจักรสำคัญในการช่วยกระจายรายได้ไปยังธุรกิจต่างๆในทุกภูมิภาค หอการค้าเสนอให้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจสำหรับขับเคลื่อนการท่องเที่ยวชุมชน และยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมถึงสนับสนุนโครงการไทยเท่ เป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่มีการสร้างมูลค่าเพิ่มวัฒนธรรมเป็นวาระแห่งชาติ และต้องการพัฒนาดิจิทัล ทัวริซึ่ม แพล็ตฟอร์มของประชารัฐ รองรับการซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสมัยใหม่