มะกันรับโอกาสเกิดสงครามกับโสมแดงเพิ่มทุกวัน ล่าสุดส่ง ‘สเตลท์’ ร่วมซ้อมรบโสมขาว

https://www.matichon.co.th/news/

ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีเพิ่มสูงขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยล่าสุดสหรัฐได้ส่งเครื่องบินสเตลท์ ซึ่งเป็นเครื่องบินที่สามารถลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ เข้ามาในภูมิภาค เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของฝูงบินสหรัฐที่เข้าร่วมซ้อมรบกับเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กำลังอ้อนวอนขอให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น ซึ่งถือเป็นการเล่นพนันที่อันตรายอย่างยิ่งบนคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่สื่อของทางการเกาหลีเหนือได้รายงานว่าการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือในวันที่ 4-8 ธันวาคมนี้ ถือเป็นพฤติกรรมยั่วยุที่ร้ายแรงและผักดันให้ภูมิภาคนี้จวนเจียนจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น

นายพลเอชอาร์ แม็คมาสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาวออกมายอมรับต่อที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นที่แคลิฟอร์เนียว่า โอกาสที่จะเกิดสงครามบนคาบสมุทรเกาหลีเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน อย่างไรก็ดีเขาย้ำว่าสหรัฐกำลังแข่งขันกับเวลาเพื่อที่จะหายุติปัญหาดังกล่าว เพราะมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว เนื่องจากทุกครั้งที่เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบขีปนาวุธและนิวเคลียร์แสดงให้เห็นว่านายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือได้พัฒนาศักยภาพด้านกำลังรบของเกาหลีเหนือให้เพิ่มมากขึ้น

นายพลเอชอาร์ แม็คมาสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐ

ขณะที่สื่อเกาหลีใต้ได้แสดงให้เห็นภาพของฝูงบินสหรัฐที่เดินทางมาถึงเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมการซ้อมรบร่วมระหว่างสองประเทศ โดยเครื่องบินที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือเครื่องบินเอฟ-22 แรพเตอร์ส 6 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินรบสเตลท์ที่สามารถลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ ซึ่งมีศักยภาพสูงสุดเท่าที่มีอยู่ในกองทัพสหรัฐ พร้อมกับระบุว่า การซ้อมรบร่วมครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ของชาติพันธมิตร

ทั้งนี้การซ้อมรบร่วมระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐครั้งล่าสุดจะมีเจ้าหน้าที่ 12,000 นาย และเครื่องบินอีก 230 ลำเข้าร่วมในปฏิบัติการดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ระบุว่าเครื่องบินที่สหรัฐส่งมาเป็นเครื่องบินรบที่มีศักยภาพสูง ซึ่งรวมถึงเครื่องบินเอฟ-22เอส เอฟ-35เอส เครื่องบินทิ้งระเบิด และเครื่องบินสนับสนุนต่างๆ

นักวิเคราะห์เชื่อว่าเครื่องบินสเตลท์ถือเป็นเครื่องบินที่เกาหลีเหนือมองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง เพราะแม้เกาหลีเหนือจะพยายามพัฒนาศักยภาพในการต่อสู้ด้านอากาศยาน แต่ระบบเรดาร์ของเกาหลีเหนือยังไม่สามารถตรวจจับเครื่องบินชนิดนี้ก่อนที่มันจะทำการโจมตีระบบป้องกันตนเองของเกาหลีเหนือได้